วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Adverb


Adverb คือ คำกริยาวิเศษณ์ ทำหน้าที่ขยายคำกริยา, คำคุณศัพท์, และคำกริยาวิเศษณ์ตัวอื่นๆ โดยมีลักษณะต่างๆดังนี้
ชนิดของ Adverb แบ่งตามความหมายได้ดังนี้
1.      Adverb of manner (กริยาวิเศษณ์บอกกริยาอาการ)
adverb ที่บอกว่าการกระทำนั้นได้กระทำในลักษณะอาการอย่างไร ( How ) ส่วนมากจะเป็น adverb ที่ลงท้ายคำด้วย -ly ของคำคุณศัพท์ เช่น quickly, happily, bravely, hard, fast, well
2.      Adverb of place  (กริยาวิเศษณ์บอกสถานที่)
 adverb ที่ บอกว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นที่ไหน หรือ การเคลื่อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนัง ( Where ) เช่น here, there, everywhere, up, down, near, abroad, above
3.      Adverb of time (กริยาวิเศษณ์บอกเวลา)
 adverb ที่ บอกว่าการกระทำนั้นเกิดเมื่อใด ( when ) เป็นเวลานานแค่ไหน ( for how long ) และบ่อยแค่ไหน ( how often ) เช่น When = today, yesterday, later,now, last year, after, soon, before, sometime, For how long = all day, not long, for a while, since last year, temporarily, briefly, from……to, till, until ( บางตำราแยกเป็น Adverbs of Duration [กริยาวิเศษณ์บอกระยะที่ดำเนินการมา] ) How often = sometimes , frequently, never, often, always, monthly ( บางตำราแยกหัวข้อนี้ออกเป็น Adverbs of Frequency [กริยาวิเศษณ์บอกความสม่ำเสมอ] )
4.      Adverb of degree
เป็นกริยาวิเศษณ์ที่ส่วนใหญ่ไปขยาย adjective หรือ adverb ด้วยกันเอง เพื่อบอกระดับหรือปริมาณความมากน้อย คำที่พบบ่อยๆ (How much) ( บางตำราแยกหัวข้อนี้ออกเป็น Adverbs of quantity [กริยาวิเศษณ์บอกปริมาณมากหรือน้อย] ) ได้แก่ เช่น very, fairly, rather, quite, too, hardly
5.      Adverb of Affirmation or Negation คือ กริยาวิเศษณ์บอกการรับหรือปฏิเสธ เช่น yes, no, not, not at all, of course, actually
6.      Conjunctive Adverbs เป็นกริยาวิเศษณ์ที่ทำหน้าที่เป็นคำเชื่อมอนุประโยค (independent clause) ในประโยค โดยมีข้อความของอนุประโยคหน้าและอนุประโยคหลังเชื่อมโยงกัน เช่นคำต่อไปนี้  เช่น next, finally, also, anyway, besides, still
7.      Interrogative Adverbs (บางตำราก็เขียนไว้ว่า Adverb of Interrogative) กริยาวิเศษณ์นำในประโยคคำถาม ได้แก่คำดังต่อไปนี้  เช่น why, where, how, when, which, who
8.      Relative Adverbs เป็นคำกริยาวิเศษณ์นำหน้า relative clause ได้แก่คำ when, where, why แทนคำ preposition + which
*หมายเหตุ บางตำราอาจจะไม่มี หรือรวมไว้ในหมวดเดียวกัน

หลักการสร้าง Adverb / แหล่งกำเนิด Adverb (หลักการเปลี่ยน adjective -> adverb)
1. Adverb ส่วนมากเกิดจากคำการเติม –ly ท้าย adjective
careful -> carefully
quick -> quickly
โดยหลักการเติม –ly มีดังนี้
a) คำที่ลงท้ายด้วย –e ให้เติม –ly ได้เลย เช่น
extreme -> extremely

ยกเว้น คำเหล่านี้ที่เปลี่ยนทั้งรูปได้แก่ true -> truly, due -> duly, whole -> wholly
b) คำที่ลงท้ายด้วย –le (-able, -ible) ให้เติม –ly เช่น
comfortable -> comfortablely

c) คำที่ลงท้ายด้วย –y เปลี่ยน –y เป็น –i และเติม –ly เช่น
happy -> happily

d) คำที่ลงท้ายด้วย (สระ+l) ให้เติม –ly เช่น
beautiful -> beautilfully

e) นอกจากกฎเกณฑ์ที่ลงท้ายตามข้อ 1-2 แล้ว เมื่อต้องการให้เป็นกริยาวิเศษณ์ (Adverb) ให้เติม ly ปัจจัยได้เลย ไม่ต้องลังเลใจให้เสียเวลา

2. Adverb บางคำขึ้นต้นด้วย a- เช่น a+go = ago, a+broad = abroad, a+new = anew, a+part = apart, a+side = aside

3. Adverb บางชนิดเติม –wise หรือ –ward  เช่น forwards, backwards

4. มีรูปของตนเองมาโดยกำเนิด จะต่อเติมหรือตัดออกแม้เพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง ไม่ได้ ได้แก่คำว่า here,there,hard,always,well,lften,too,ver,early, seldom,etc.

5.Adverb บางคำเป็นรูปเดียวกับ Adjective มี Adverb อยู่บางตัวซึ่งมีรูปเช่นเดียวกันกับ Adjective  คำต่อไปนี้เป็นได้ทั้ง Adjective และ Adverb สุดท้ายแต่วิธีใช้ หรือตำแหน่งวางไว้ในประโยคของมันได้แก่  table update coming soon…)

วิธีการใช้ adverb
1.      Adverb of manner
-          ถ้าประโยคไม่มีกรรมให้วางหลังกริยา เช่น They walk slowly.
-          ถ้าประโยคนั้นมีกรรม ให้วางหลังกรรม เช่น I can speak Japanese well.
-         Adverb of Manner ที่ลงท้ายด้วย -ly หรือเป็นคำที่แสดงความเห็นของผู้พูดเกี่ยวกับการกระทำนั้น ส่วนใหญ่นิยมวางไว้ในประโยค เช่น I have carefully considered all of the possibilities.
-         Adverbs of Manner อาจจะวางไว้หน้าประโยคได้เมื่อต้องการเน้น Adverb นั้น เช่น  atiently, we waited for the show to begin.
-         ประโยคอุทานที่ขึ้นต้นด้วย How ให้วาง Adverbs of Manner ไว้หลัง How เช่น How quickly the time passes!
-         ในประโยค passive voice ถ้ามี Adverb of Manner มาขยาย ให้วางไว้หน้ากริยาช่อง 3 เสมอ เช่น The report was well written.
-         แต่ในกรณีที่ต้องการเน้น สามารถนำมาไว้หน้าประโยคได้ เช่น As quickly as we could, we finished the work.

2.      Adverb of place
-         ตำแหน่งของ Adverb of Place ปกติจะวางท้ายประโยคหลังกริยาหลัก ( main verb ) หรือหลังกรรม ( object ) และไม่มีคำอื่นต่อท้าย เช่น The students are walking home.

3.      Adverb of time
-          Adverb ที่บอกว่าเกิดเมื่อใด ( When ) ส่วนมากจะนิยมวางท้ายประโยค เช่น  I ‘m going to tidy my room tomorrow.
-         Adverb of time ส่วนมากจะวางไว้ในกลางประโยคไม่ได้ ยกเว้น now, once, และ then เช่น It is now time to leave.
-         Adverb ที่บอกว่าบ่อยแค่ไหน ( how often ) เป็นการแสดงความถี่ของการกระทำ ส่วนมากวางหน้ากริยาหลัก ( main verb ) แต่หลังกริยาช่วย ( auxiliary verbs ) เช่น be, have, may, must  I often eat vegetarian food.
-         Adverb ที่บอกว่าบ่อยแค่ไหนซึ่งระบุจำนวนเวลาของการกระทำที่แน่นอน ส่วนมากจะวางท้ายประโยค เช่น This magazine is published monthly.
-          Adverb ที่สามารถวางท้ายประโยค หรือวางหน้ากริยาหลัก เช่น frequently,generally, normally, occasionally,often, regularly, sometimes, usually เช่น She regularly visits France.

4.      Adverb of degree
-         ตำแหน่งของ Adverbs of Degree ส่วนใหญ่วางหน้าคำที่มันขยาย มักจะขยาย adjective หรือ adverb ด้วยกันเอง และวางหน้า main verb หรือระหว่างกริยาช่วย ( auxiliary verb )กับ main verb เช่น The water was extremely cold.

หลักการเรียงลำดับ adverb หลายชนิดที่ขยายกริยา
1.      สถานที่ (place) 2.กริยาอาการ (manner) 3.ความถี่ (frequency) 4.เวลา (Time)

Adjective

Adjective

Adjective คือ คำคุณศัพท์ ทำหน้าที่ขยายคำนาม  มีดังนิ้
1.       Descriptive Adjective   บอกลักษณะคุณภาพของคน สัตว์และสิ่งของเช่น  young,  rich, new, god, black, clever, happy
2.       Possessive Adjective  แสดงความเป็นเจ้าของเช่น my, your, his, her, their, our, its
3.       Quantitativt Adjective  บอกปริมาณมาก้อยของนามที่นับไม่ได้ เช่น some, half, little, enough
4.       Numeral Adjective แสดงจำนวนมากน้อย ของนามที่นับได้หรือแสดงลำดับก่อน-  หลังของคำนามเช่น one , two,   first,  many
5.       Demonstrative Adjective    คุณศัพท์ที่ชี้เฉพาะคำนาม เช่น this, that, these, those
6.       Interrogative Adjective  คือคำคุณศัพท์ที่แสดงคำถาม เช่น which, whose, what เป็นต้น   จะวางอยู่หน้าประโยคคำถาม ตัวอย่างเช่น   
1.       Which way shall we go?
2.       Whose dictionary is this?
7.       Proper Adjective  คือคำคุณศัพท์ที่มาจากคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ เช่น ชื่อประเทศ ทำหน้าที่ ขยายคำนามซึ่งมีความหมายว่า เป็นของ หรือจากประเทศนั้นๆ ตัวอย่างเช่น Which way shall we go?
8.        Distributive Adjective   แสดงการแบ่งแยกหรือจำแนก  เช่น each, every, either, neither

ตำแหน่งของคำคุณศัพท์   ( Positions of Adjective)
1.       วางไว้หน้าคำนาม  adjective นั้น ทำหน้าที่ขยายตัวอย่าง เช่น
1.1   Peter wears a black suit
1.2   Tom is a good guy.
2.       วางไว้หลัง Verb to be และ Linking Verbs ตัวอย่าง เช่น
2.1     The traffic is terrible at 5 o’clock on Friday.
2.2     He felt tired.

หมายเหตุ
            Linking Verb คือคำกริยาที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง subject กับ adjective ที่ตามมา ยกตัวอย่างเช่น taste , smell , turn , keep , feel , appear , grow , get , become , go , look , seem , sound เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
            * The soup tastes good.
            * The rose smells sweet.
            * Uncle’s hair turns grey.
Adjective ต่อไปนี้วางไว้หน้าคำนามเท่านั้น (ห้ามวางไว้หลัง Verb to be และ Linking Verbs) เช่น
            main (สำคัญ)                only (เพียง)
            upper (ข้างบน)             former (แต่ก่อน)
            chief (สำคัญที่สุด)         inner (ภายใน)
            outer (ภายนอก)            principal (หลักสำคัญ)
            indoor (ในร่ม)                outdoor (กลางแจ้ง)
            elder (สูงกว่า)                eldest (สูงวัยที่สุด)
            drunken (ขี้เมา)             wooden (ทำด้วยไม้)
            golden (ทำด้วยทอง)

 หลักการเรียงลำดับ Adjectives
       สำหรับการเรียงลำดับ adjective หลายคำที่ประกอบคำนามคำเดียว ให้เรียงลำดับดังนี้


วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Nouns

Nouns
         คำนาม (nouns) เป็นคำที่ใช้เรียกชื่อของสิ่งต่าง ๆ อาทิชื่อบุคคล สถานที่ สิ่งต่าง ๆ แนวคิด หรือคุณภาพเช่น Somsak, Doi Sutep, Bangkok, table, freedom, goodness ฯลฯ คำนามอาจแบ่งเป็นชนิดต่าง ๆ ตามลักษณะสำคัญได้ 3 แบบ คือ
1.      นามที่แบ่งโดยคำนึงถึงความหมาย   นามลักษณะนี้จำแนกได้ 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
1.1.Proper nouns (นามจำเพาะเจาะจง) เป็นนามที่ใช้เรียกชื่อเฉพาะของบุคคล สถานที่หรือสิ่งต่าง ๆ ข้อสังเกตคือ นามชนิดนี้ขึ้นต้นด้วยอักษรใหญ่ เช่น Pichet, Rincome Hotel, China, Asia, Songkran Day
1.2.Common nouns (นามทั่วไป) เป็นนามที่มิได้เจาะจงถึงบุคคล สถานที่หรือกล่าวง่าย ๆ   คือเป็นนามที่ใช้เรียกชื่อบุคคล สถานที่ หรือสิ่งของโดยทั่ว ๆ ไป เช่น man, city, doctor ฯลฯ นามชนิดนี้สามารถจำแนกแยกย่อยได้ 3 ชนิดคือ
-         Concrete nouns (นามรูปธรรม) เป็นนามที่ใช้เรียกชื่อสิ่งต่าง ๆ ที่สามารถเห็นได้ ได้ยิน ได้กลิ่น สัมผัสหรือลิ้มรสได้ เช่น apple, candle, table, radio ฯลฯ
-         Mass nouns (นามมวล) แยกกล่าวได้ 3 กลุ่มใหญ่ คือ
(1.) นามมวลที่นับไม่ได้ ไร้รูปร่างเช่น love, happiness ฯลฯ
(2.) นามมวลที่ใช้เรียกชื่อวัตถุ อาหาร วิชา เกมส์กีฬา ต่าง ๆ เช่น meat, sugar, biology, swimming ฯลฯ
(3.) นามมวลที่นับไม่ได้ตลอด เช่น advice, research, luggage, information, equipment, behavior, scenery, commerce, money ฯลฯ
-         collective nouns (นามกลุ่มก้อน) เป็นนามที่แสดงกลุ่มก้อนสิ่งต่าง ๆ อาทิ เช่น คน สัตว์ สิ่งของ เช่น family, team, crowd, group ฯลฯ
2.      นามที่แบ่งโดยคำนึงถึงรูป   นามแบบนี้ก็คือนามผสม (compound nouns) ซึ่งเกิดจากการนำเอาคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปมารวมกัน ได้แก่ นามที่เกิดจากการรวมตัวกันของ
2.1.Noun + Noun เช่น bushman (คนป่า) caveman (มนุษย์ถ้ำ) engineeroom (ห้องเครื่อง)
2.2. Adjective + Noun เช่น bluebottle (แมลงวันหัวเขียว)
2.3.Verb + Noun เช่น sailfish (ปลากระโดง) pickpocket (ขโมย)
2.4.Gerund + Noun เช่น floating market (ตลาดน้ำ) sleeping car (รถนอน)
2.5.Noun + Gerund เช่น cloud-kissing (สูงเทียมเมฆ) board meeting (การประชุมกรรมการ)
2.6.Preposition + Noun เช่น downstream (ล่องลงตามน้ำ) by-election (การเลือกตั้งซ่อม)
2.7.Verb + Preposition เช่น breakthrough (การฟันฝ่าอุปสรรค) catchup (น้ำซอสชนิดคั้น)
2.8.Noun + Preposition phrase เช่น son - in - law (ลูกเขย) daughter-in-law (ลูกสะใภ้)
3.      นามที่แบ่งโดยคำนึงถึงหน้าที่ ลักษณะนี้ จำแนกได้ 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
3.1.Countable nouns (นามนับได้) สามารถนับได้เป็นชิ้น เป็นอัน เป็นตัว ฯลฯ มีได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น city, table, cars ฯลฯ
3.2.Uncountable nouns (นามนับไม่ได้) เป็นนามที่ไม่สามารถนับได้เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นตัวได้แก่
(1)   นามที่เป็นชื่อก๊าซ เช่น Oxygen, carbon dioxide\
(2)   นามที่เป็นชื่อของเหลว เช่น water, ink ,oil
(3)   นามที่เป็นชื่ออณูเล็กมาก เช่น dust, rice, sand
(4)   นามที่เป็นชื่อสาขาวิชา เช่น geology, biology, economics
(5)   นามที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น sunshine, darkness
(6)   นามที่เป็นชื่อแนวคิด อุดมคติ เช่น damage, love ,freedom
รวมสรุปแล้ว นามนับไม่ได้ มักจะเป็นนาม นามธรรม (abstract nouns) และนามมวล (mass nouns) นั่นเอง
ลักษณะพิเศษของนาม
คำนามมีลักษณะพิเศษอยู่ 2 ประการคือ การเปลี่ยนนามนับได้จากรูปเอกพจน์เป็นพหูพจน์ และการสร้างนามให้อยู่ในรูปแสดงเจ้าของ ดังนี้
1.      นามนับได้เอกพจน์-พหูพจน์ การเปลี่ยนนามนับได้จากรูปเอกพจน์เป็นพหูพจน์ มีหลักเกณฑ์ดังนี้
1.1.  เติม s ท้ายนามเอกพจน์ เช่น book - books, pen - pens, car - cars
1.2.  เติม es ท้ายนามเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย s, x, z, ch, และ sh เช่น bus-buses, watch-watches, box-boxes
1.3.  นามเอกพจน์ลงท้ายด้วย y การเปลี่ยนเป็นรูปพหูพจน์ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ 2 ประการคือ
A.                           หน้า y เป็นพยัญชนะ เปลี่ยน y เป็น i และเติม es เช่น company-companies, city-cities, lady-ladies
B.                            หน้า y เป็นสระ a, e, i, o, u คง y ไว้แล้วเติม s เช่น day-days, key-keys, way-ways
1.4.  นามเอกพจน์ลงท้ายด้วย o การเปลี่ยนเป็นรูปพหูพจน์ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์สองประการคือ
a.      หน้า o เป็นพยัญชนะเติม es เช่น potato-potatoes, mango-mangoes,ยกเว้น ถ้าเป็นนามเกี่ยวกับเครื่องดนตรี หรือการดนตรี หรือคำยกเว้นบางคำ เติม s เช่นpiano-pianos, dynamo-dynamos, memo-memos, kilo-kilos, photo-photos
b.      หน้า o เป็นสระ เติม s เช่น radio-radios, studio-studios, zoo-zoos, cuckoo-cuckoos, bamboo-bamboos, kangaroo-kangaroos
1.5.  เปลี่ยนนามเอกพจน์ลงท้ายด้วย f หรือ fe เป็น v แล้วเติม es เช่น half-halves, wife-wives, life-lives, calf-calves ยกเว้น นามบางคำเติม s โดยไม่มีการเปลี่ยน f หรือ fe แต่อย่างใด เช่น safe-safes, proof-proofs, chief-chiefs, brief-briefe
1.6.  นามเอกพจน์บางคำเวลาเป็นพหูพจน์เปลี่ยนรูป ต้องจำ เช่น goose-geese, tooth-teeth, foot-feet, man-men, woman-women, child-children, mouse-mice, ox-oxen
1.7.  นามบางคำมีรูปเหมือนกันทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น deer-deer, sheep-sheep, species-species, series-series, trout-trout, means-means
1.8.  นามบางตัวมีเพียงรูปเดียวคือ เอกพจน์ แม้ว่าจะเติม s เช่น news, statistics, mathematics, politics, mumps (คางทูม), ethics, economics, physics
1.9.  นามต่อไปนี้เป็นพหูพจน์ตลอด เช่น glasses (แว่นตา) , tweezers (คีมเล็ก) ,tidings(ข่าวคราว) shorts (กางเกงขาสั้น), scissors(กรรไกร), saving(เงินออม), arms(อาวุธ), whiskers (หนวดเครา)
1.10.        นามที่มาจากภาษาต่างประเทศ เช่น ละติน กรีก มีรูปพหูพจน์ต่างไปจากเดิม เช่น crisis-crises (วิกฤติการณ์) criterion-criteria (เกณฑ์), parenthesis-parentheses (วงเล็บ) medium-media (เครื่องมือ), datum-data (ข้อมูล) stimulus-stimuli (สิ่งเร้า), analysis-analyses (การวิเคราะห์)
2.      นามแสดงเจ้าของ การสร้างคำนามให้อยู่ในรูปของการแสดงความเป็นเจ้าของ มีหลักเกณฑ์คือ
2.1.  นามเอกพจน์
สามารถทำให้เป็นรูปแสดงการเป็นเจ้าของด้วยการเติม s ท้ายนาม Sunee's car, ous nations's flag, Nipon's books.
2.2.  นามพหูพจน์ 
นามพหูพจน์ที่ลงท้ายด้วย s หรือ es ทำเป็นรูปแสดงเจ้าของโดยการเติม ' ท้ายนาม เช่น ladies' coats, girls' bicycles, soldiers' guns แต่หากนามพหูพจน์มิได้ลงท้ายด้วย s หรือ es ให้เติม 's เมื่อแสดงเจ้าของเช่น children's parents, women's dresses, men's jeans
2.3.  นามผสม
                             ให้เติม 's ท้ายคำนามนั้น เช่น son-in-law's, books, daughter-in-law's house
2.4.  เจ้าของร่วม
ในกรณีมีนามมากกว่า 1 คำ เมื่อนามแต่ละตัวนั้นแสดงความเป็นเจ้าของร่วมให้เติมนามตัวสุดท้าย เช่น Sunee and Nipon's car, Pim and Cha's motorcle
2.5.  เจ้าของร่วม
หากแสดงความเป็นเจ้าของแยกกัน ต่างคนต่างมีส่วนเป็นเจ้าของในสิ่งนั้น หรือแต่ละคนก็มีสิ่งนั้น ให้เติม 's ท้ายนามแต่ละตัว เช่น Pim's and Cha's motorcycles, Sunee's and Nipon's car